Italia Restaurant at Sala Lanna Chiang Mai Hotel

By น้าอ้วน 11 years ago

ชื่อร้าน : Italia Restaurant at Sala Lanna Chiang Mai Hotel
ที่อยู่ : 49 ถนนเจริญราษฎร์ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.791285,99.003059 (แผนที่จาก Google Map)
ติดต่อ : 053 242 588 , http://www.salalanna.com
เวลาเปิด-ปิด : 17:00 – 24:00 น. ทุกวัน

อย่างที่ได้เกริ่นไปในรีวิวก่อนหน้านี้นะครับว่า รีวิวของโรงแรม Sala Lanna Chiang Mai Hotel เราจะมีรีวิวอยู่ 2 รีวิวด้วยกันครับ คือ ห้องอาหาร Sala Lanna Eatery & Bar ที่เราได้รีวิวไปก่อนหน้าแล้ว และรีวิวนี้จะเป็นในส่วนของห้องอาหาร Italia ครับ ซึ่งเป็นห้องอาหารอิตาเลียน สไตล์ดั้งเดิมแท้ๆ ด้วยฝีมือเชฟ ที่อิมพอร์ตมาจากอิตาลี่โดยตรงครับ ตามน้าอ้วนมาติดๆ เกาะติดขอบโต๊ะให้แน่นๆ น้าอ้วนจะพาไปชิมอาหารอิตาเลียน อร่อยๆ ที่ห้องอาหาร Italia แห่งนี้ครับ

Sala Lanna Chiang Mai เป็นโรงแรม Boutique ในเครือของ Sala Resort & Spa เขาเพิ่งมาเปิดตัวโรงแรมได้เมื่อไม่นานครับ ประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง ที่นี่เป็นโรงแรม Boutique เล็กๆ มีห้องพักเพียง 16 ห้อง แต่ลักษณะการตกแต่งภายในโรงแรมจะเป็นแนวโมเดิร์นครับ (เราอาจจะคุ้นตากับโรงแรม Boutique ที่ตกแต่งในสไตล์ล้านนา) และที่สำคัญเป็นโรงแรมที่ติดริมน้ำปิงด้วย

โรงแรม Sala Lanna Chiang Mai ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่หาได้ง่ายมากกกกกกก ง่ายๆ เลยหากมาจากทางสะพานนวรัฐ ให้มุ่งหน้ามาทางร้าน The Good View ครับ ผ่านหน้าร้าน Good View เราก็จะเจอสามแยกใช่ไหมครับ จะมีโชว์รูมรถ Isuzu อยู่ทางขวามือ ตรงนี้แหละถ้าเราหันมามองทางซ้ายมือ ก็จะเจอโรงแรมแล้วครับ

แต่ห้องอาหาร Italia จะไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวโรงแรมเหมือน Sala Lanna Eatery & Bar นะครับ จะเป็นอาหารแยกออกมา ซึ่งอยู่ติดกันนั่นแหละครับ ด้านหน้าก็สามารถจอดรถได้สะดวกสบาย มีพี่ๆ รปภ. คอยอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่จอดรถให้อยู่แล้วครับ

ห้องอาหาร Italia จะตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ ซึ่งจะประกอบด้วย 2 โซนหลักๆ ด้วยกันก็คือ Indoor Air Con และ Outdoor ซึ่งในส่วนของ Outdoor ในวันที่น้าอ้วนไปทีรีวิว ทางโรงแรมแจ้งว่าจะทำการปรับปรุงในโซนนี้ ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้รีวิวตรงพื้นที่นี้ หากเสร็จเมื่อไร จะเชิญน้าอ้วนมาอีกครั้ง

ดังนั้นน้าอ้วนเลขขอรีวิวสถานที่ในส่วนของ Indoor นะครับ สำหรับโต๊ะและเก้าอี้ที่ให้บริการลูกค้า ก็จะมีอยู่หลายประเภทเช่น เก้าอี้หน้าเค้าน์เตอร์บาร์ (สำหรับคนมานั่งชิล ดื่มเครื่องดื่ม) , เก้าอี้แบบปกติสำหรับทานอาหาร และเก้าอี้สูงพร้อมโต๊ะสูง เอาไว้นั่งชิล หันหน้าออกไปทางแม่น้ำปิง ชิลๆ และที่สำคัญที่นี่เขายังมี Private Zone สำหรับท่านใดที่มาเป็นหมู่คณะ และต้องการความเป็นส่วนตัว ที่นี่เขาก็จัดไห้บริการได้ สามารถรองรับคนได้สิบกว่าคน

และน้าอ้วนก็ซน ขอเข้ามาถ่ายรูปในห้องเก็บไวน์ของทางโรงแรม ในนี้เย็นดีครับ มีไวน์เยอะมาก บางตัวน้าอ้วนก็รู้จัก บางตัวก็ไม่เคยเห็น แก้วพร้อม ดีแคนเตอร์พร้อม ไวน์พร้อม ….. Hahaha ถ้าได้อยู่ในนี้ทั้งวัน และได้ลองดื่มไปเรื่อยๆ ก็คงมีความสุขเนอะ ว่ามะ?

สำหรับเมนูอาหาร วัฒนธรรมในการรับประทานอาหารของชาวยุโรป เขามักจะมีการทานเป็นแบบที่เรียกว่าเป็น Course ดังนั้นในเมนูอาหารที่นี่เขาก็จะแยกเป็น Starters (คืออาหารเรียกน้ำย่อย ทานรอเวลาที่อาหารจานหลักจะปรุงสุก ส่วนมากจะเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ ครับ) เช่นขนมปังต่างๆ สลัด หรือซุป นะครับ ส่วนอาหารจานหลัก เราจะเรียกว่า Main Course ซึ่งก็จะมีให้เลือกมาก รวมไปถึงปิดท้ายอย่างของหวาน

แต่ที่นี่เขาก็ยังมีพวก Pasta (ถ้ามาทานอาหารอิตาเลียนแล้วขาดพาสต้าไป ก็คงรู้สึกเหมือนมาไม่ถึง ซึ่งที่นี่เขาจะเป็น Handmade Pasta แบบต้นฉบับแท้ๆ ของอิตาเลียนเลย) รวมไปถึงพิซซ่า ที่นี่ก็มีให้อิ่มกันด้วย สำหรับราคา และรายการอาหาร สามารถดูได้จากเมนูข้างล่างนี่ได้เลยครับ

และเมนูอีกสองเล่ม (ห้องอาหารที่นี่จะมีเมนูอยู่ 3 เล่มครับ คือเมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่ม และเมนูไวน์ Wine List)

อย่างที่บอกว่าอาหารฝรั่งเขากินแบบเป็น Course ดังนั้นวันนี้น้าอ้วนก็ขอรีวิวอาหารแต่ละ Course ให้ดูกันก่อนเลยแล้วกัน เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อย Starters กันก่อน (ที่จริงไม่ต้องให้อาหารมาเรียกหรอก ตอนนี้น้ำย่อยมันเต็มกระเพาะแล้ว Hahaha)

มาถึงทางโรงแรมก็ต้อนรับขับสู้ด้วย Welcome Bread ซะแล้ว ซึ่งจะเป็นขนมปังครับ เสิร์ฟมาพร้อมกับซอส 2 อย่างก็คืออย่างแรกเป็น Olive Oil + Balsamic และอีกซอสหนึ่งจะเป็น Vegetable หรือซอสผักนั่นเอง พูดถึงเมนูนี้ น้าอ้วนชอบขนมปังกระเทียมเพราะมีความหอม และชุ่มเนยกระเทียมมาก และขนมปังโฮลวีท ที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่ถ้าเป็นขนมปังกรอบนี่น้าอ้วนไม่เท่าไรครับ เพราะมันจะแข็งๆ และออกหวาน (น้าอ้วนชอบแบบนุ่มและกลมกล่อมมากกว่า อิอิ)

เมนูที่สอง เสิร์ฟมาบนจานที่ใหญ่ม๊ากกกก แล้วก็บางมาก Hahaha เมนูนี้เรียกว่า Octopus Cappaccio (ชื่อเรียกยากดีจริงๆ) จะเป็นปลาหมึกยักหั่นบางๆ แล้วก็คลุกด้วยเครื่องปรุงรสชาติกลมกล่อม อร่อยมากครับ เห็นบางๆ แบบนี้นะ เวลาทานเข้าไปน้าอ้วนว่ามันเต็มปากเต็มคำดีจริงๆ สำหรับจานนี้น้าอ้วนว่าเชฟเขาบรรจงตกแต่งซะเหลือเกิน กว่าจะเรียงมาได้คงต้องใช้เวลานานพอควรเลยแหละ …

จัดมาอีกจาน เมนูนี้เรียกน้ำย่อยได้สุดๆ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Assorted Cold Cuts จะเป็นแฮมที่นำเข้าจากอิตาลี่ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย Parma Ham, Spicy Italian Sausage, Smoke Beef and Rolled Pancetta เสิร์ฟพร้อมกับ Gnocco fitto ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนปาท่องโก๋บ้านเราครับ แต่อร่อยกว่ามากกก เหนียวและรสชาติกลมกล่อม โดยเฉพาะ Parma Ham ถ้าได้เมล่อนมาทานคู่ด้วย คงจะฟินได้ไม่น้อย

มาดูในส่วนของซุปบ้าง เมนูนี้จะพาไปเที่ยวทะเลกัน ด้วย Clams & Mussles in ‘Guazzetto’ ถ้าพูดตามประสาชาวบ้าน อาจจะเรียกว่าเป็นซุปหอยรวม เพราะเมนูนี้เขาจะมีหอยไม่ว่าจะเป็น หอยลาย หอยแมลงภู่สีดำ และหอยหลอด ซึ่งทั้งหมดอิมพอร์ตมาทั้งสิ้น โดยจะเคี่ยวกับซุปพร้อมมะเขือเทศ บอกได้เลยว่าน้ำซุปที่อยู่ก้นถ้วย …. หวาน กลมกล่อมมาก จิ้มทานคู่กับขนมปังสามารถเรียกได้ว่า เป็นคู่จิ้น คู่ใหม่ของวงการได้เลย

เมื่อน้ำย่อยของเราโดนปราบสิ้นด้วย Course Starters แล้ว ต่อไปเรามาลุยกับ Main Course บ้างครับ ซึ่งกองทัพของ Main Course ที่จัดมาในวันนี้ได้แก่ ……..

Beetroot Pappardelle ชื่ออ่านยากอีกละ อ่านออกแต่บีทรูทเนี่ยแหละ และน่าสงสัยมากว่าบีทรูทมาเกี่ยวข้องอะไรกับอาหารจานนี้ ถ้าดูแบบผิวเผินไม่ได้เจาะลึกลงในรายละเอียด หลายคนอาจจะคิดว่านี่คืออาหารที่มีส่วนผสมของแฮมเป็นหลัก แต่ผิดถนัดครับ นี่คือพาสต้าอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นพาสต้าที่ผสมกับบีทรูทนั่นเอง เลยทำให้เส้นพาสต้าที่ปกติแล้วจะเป็นออกสีเหลืองๆ ครีมๆ กลายเป็นสีออกชมพู คล้ายแฮม ….. (ทีมงานปล่อยไก่กันเป็นเล้าเลย หึหึ, นี่แหละคือเหตุผลว่าถ้าคุณต้องการที่จะทานอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ แบบดั้งเดิมจริงๆ คุณต้องมาที่นี่ เพราะคุณอาจจะได้ทานเมนูที่ร้านอื่นไม่มีก็เป็นได้) ซึ่งรสชาติพาสต้าจานนี้กลมกล่อมดีครับ เสิร์ฟพร้อมกับเป็ดตุ๋นเนื้อนุ่ม โรยด้วย Pecorino Cheese โอ้ววว แลดูอลังการมาก อิอิ

ตามติดด้วยพาสต้าอีกจาน เป็น Rigatoni ‘Norcina’ พาสต้าเส้นคล้ายมักกะโรนีที่เราคุ้นเคย แต่จะเป็นหลอดใหญ่กว่ามากกก จะมาคู่กับซอสหมูที่ผัดในไวน์แดงแล้วนำไปเคี่ยวและปรุงรสด้วยครีมเห็ดทรัฟเฟิล (โอ้ววว ได้ยินแค่เห็ดทรัพเฟิล ก็หัวใจเต้นรัวละ) สำหรับจานนี้เชฟเขาทำแบบอิตาเลียนแท้ๆ มาให้ครับ สังเกตุได้โดยการเอาเข้าปาก จะรู้เลยว่าเส้นพาสต้าจะไม่สุกเท่าที่คนไทยคุ้นเคย (ถ้าไม่รู้จะคิดว่าเชฟลวกเส้นไม่สุกหรือเปล่า? Hahaha) สำหรับเมนูนี้น้าอ้วนประทับใจตรงเนื้อหมูครับ ชิ้นใหญ่เคี้ยวอร่อยเต็มปากเต็มคำดี

อาหารจานหลัก จานสุดท้าย มีชื่อว่า Lamb Rack (ทำไมชื่อสั้นจัง ฟังดูไม่อลังการเหมือนเมนูอื่นเลย) แต่ถึงแม้ชื่อจะสั้นแค่ 2 พยางค์ ขอบอกเลยว่าอลังการมาก ซึ่โครงแกะที่นำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ ย่างบนไฟให้สุกแบบ Medium เวลาใช้มีดหั่นมาแล้ว เนื้อจะนุ่มมากครับ เสิร์ฟมาพร้อมกับ Aubergine Parmigiana (ชื่ออ่านยากแล้วใช่มะ หึหึ) ลักษณะคล้ายกับลาซาญญ่า แต่จะเป็นมะเขือม่วงสลับชั้นกับชีส รสชาติอร่อยดีครับ เพิ่งเคยทานอะไรแบบนี้ 🙂

หลังจากที่อาหารเรียกน้ำย่อย (Starters) และอาหารจานหลัก (Main Course) จบไปแล้ว เราก็คงต้องปิดท้ายด้วยของหวาน (Dessert) ถ้าให้รีวิวทั้งหมดที่มีในหมวดของหวาน ก็เกรงว่าทีมงานน้าอ้วนชวนหิว จะกลายเป็นชูชกท้องแตกตายซะก่อน ดังนั้นจึงขอเอาเมนูของหวานเด็ดๆ ของโรงแรมมาซัก 2 เมนู ซึ่งได้แก่

Classic Coffee Tiramisu ปกติเราจะเห็นขนมทีรามิสุเป็นลักษณะของเค้กกันใช่ไหมครับ แต่ที่นี่เขาเสิร์ฟทีรามิสุในแก้ว ลักษณะจะเป็นครีมครับ รสชาติ …. จะอธิบายยังไงดี มันอร่อยอ่ะ ซึ่งถ้าเราตักลงไปดีๆ ก็จะเจอลักษณะเนื้อเค้ก แต่เป็นเค้กกาแฟที่รสชาติชุ่มมาก อร่อยมากจริงๆ สำหรับของหวานถ้วยนี้ แย่งกันแทบไม่ทัน

และอีกของหวานอีกอย่าหนึ่งที่ภูมิใจนำมารีวิวก็คือ Tortino Al Cioccolato อ่านยากอีกละ พูดกันง่ายๆ ก็คือ ช็อคโกแลต ลาวา ที่พวกเราคุ้นเคยกันที่แหละครับ ลักษณะทั่วไปก็คล้ายๆ กันกับหลายๆ ร้าน แต่จุดเด่นที่ทำให้ทีนี่แตกต่างคือช็อคโกแลตที่เขาใช้ เป็น Dark Chocolate ที่เข้มข้นมากทั้งในตัวเค้กและตัวไอศครีม แทบพูดได้ว่า to die for (ฉันยอมพลีชีพเพื่อเธอ) เลยก็ว่าได้ ถ้าหาว่าน้าอ้วนเวอร์ … ต้องมาลองเองนะครับ 120 บาท ไม่แพงเลย

เหมือนว่ารีวิวนี้จะจบ แต่ไม่จบครับ … ขออีกซักอย่างเถอะ เดี๋ยวจะหาว่ามารีวิวแล้วข้อมูลไม่ครบ อิอิ ขอพ่วงด้วยหมวดเครื่องดื่มแล้วกันนะครับ จัดมากับเครื่องดื่มอีก 3 เมนูครับ

1. Virgin Pink Lady ลักษณะจะเป็น Yogurt Smoothie รสชาติหวานๆ เปรี้ยว ๆ นุ่มๆ เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงดี แต่สำหรับน้าอ้วนเฉยๆ อิอิ

2. Shirly Temple แก้วนี้รสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ดื่มแล้วสดชื่นดีครับ ที่สำคัญไม่มีแอลกอฮอล์ ดื่มได้ No L (ปอลอ เชอรี่อร่อยดี Hahaha)

3. Ping River สาเหตุว่าทำไมถึงได้ชื่อน้ำปิง ก็เพราะว่าสังเกตุดูสีของค็อกเทล เหมือนสีของน้ำปิง และมีมะนาวลอยอยู่ ก็เปรียบเสมือนสิ่งที่ลอยอยู่ในน้ำปิง เอิ้วววววว มะโนภาพสูงส่ง ปรบมือให้ อิอิ

และเครื่องดื่มสุดท้าย ที่น้าอ้วนโปรดปราณที่สุดในทั้งหมดก็คือไวน์แดง Hahaha (อย่านินทาว่าน้าอ้วนขี้เมา น้าอ้วนแค่ดื่มเป็นพิธี หึหึ) ไวน์แดงที่นี่ดื่มง่ายครับ แช่ให้เย็นซักนิดหนึ่ง แล้วทานคู่กับ Assorted Cold Cuts เข้ากันมากๆ

ในที่สุดดินเนอร์อาหารอิตาเลียนของทีมงานน้าอ้วนชวนหิว ก็ได้เสร็จสิ้นไป ไม่อยากจะนับเลยว่าเสร็จไปกี่คอร์ส เยอะซะเหลือเกิน รสชาติโดยรวมถือว่าอาหารที่นี่อร่อยครับ น้าอ้วนได้เรียนรู้ ได้ลองชิมอาหารอิตาเลียนในรูปแบบใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ทานที่ร้านไหน เพราะที่นี่เขาจะเป็นอิตาเลียนแบบดั้งเดิม แต่ถ้าเป็นพวกอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ก็อาจจะมีการผสมผสานบ้าง สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือเรื่องของวัตถุดิบครับ กว่า 50% ความอร่อยของอาหารแต่ละจาน วัตถุดิบกินไปกว่าครึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ต้องใช้ฝีมือในการรังสรร ในการทำอาหารของเชฟครับ ซึ่งดินเนอร์ในมื้อนี้ น้าอ้วนให้คะแนนเต็ม