FOLLOW US ON SOCIAL

Posted On

03
October
2020

Le Coq d’Or ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งแรกของเชียงใหม่ ที่จะเนรมิตค่ำคืนสุดพิเศษด้วยอาหารและบริการชั้นเลิศ

เชื่อว่าทุกคนย่อมมีช่วงเวลาพิเศษ หรือช่วงเวลาดี ๆ ที่อยากจะหาสถานที่ในการเฉลิมฉลองเวลานั้น ๆ แน่นอนว่าเราก็ต้องไปร้านอาหารที่เราชื่นชอบ บางคนอาจจะชอบอาหารญี่ปุ่น บางคนชื่นชอบชาบู หรือบางคนอาจจะชอบอาหารยุโรป ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีการบริการที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับร้านหนึ่งที่น้าอ้วนอยากแนะนำให้รู้จัก ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่คู่คนเชียงใหม่มานานหลายสิบปีมาก อาจจะเป็นร้านที่หลายคนมองข้าม เพราะถ้าพูดว่าเป็นภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสหละก็ หลายคนก็คงรู้สึกว่ามันต้องหรูหรา ต้องแพงแน่นอน วันนี้ก็อยากพามารู้จักร้านนี้ให้มากขึ้น เผื่อใครที่กำลังมองหาร้านอาหารดี ๆ ที่ไปแล้วเกิดความประทับใจ Le Coq d’Or แห่งนี้พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาพิเศษนั้น ๆ

กว่า 40 ปีที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศส Le Coq d’Or อยู่คู่กับคนเชียงใหม่มายาวนาน ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ถนนเกาะกลาง ถ้าเรามาจากตลาดหนองหอย สังเกตป้อมตำรวจตลาด จะมีสามแยก ซึ่งจะมีทางเข้าสู่ถนนเกาะกลาง ขับตรงไปเรื่อย ๆ ร้านจะอยู่ด้านขวามือ แต่ถ้ามาจากถนนมหิดล (จากสี่แยกสนามบิน มุ่งหน้าไปยังสี่แยกหนองหอย) เมื่อผ่านสะพานภาค 5 มาแล้วให้ชิดซ้ายเข้าไว้ เพราะซอยที่จะเข้าสู่ร้านจะอยู่ไม่ไกล มีป้ายบอก (ก่อนถึงร้านลุงรัตน์ไก่อบฟาง) ขับเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ร้านอยู่ซ้ายมือ

ก่อนที่เราจะไปดูว่าที่นี่มีอะไรให้เราได้กินบ้าง น้าอ้วนขอเล่าประวัติของที่นี่ให้ฟังกันนิดหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีสถานที่แห่งนี้เคยเป็นบ้านพักของท่านกงสุลอังกฤษประจำจังหวัดเชียงใหม่ท่านแรก ระหว่างปี ค.ศ. 1921 – 1970 ท่านอาศัยอยู่ที่นี่กับภรรยา จนท่านถึงแก่กรรม หลังจากนั้นภรรยาของท่านกงสุลก็ได้ย้ายกลับไปอยู่ที่อังกฤษ ที่ดินตรงนี้ท่านกงสุลได้ปลูกบ้านไว้ 3 หลังด้วยกัน หลักแรกคือหลังที่เป็นร้าน Le Coq d’Or นี่เอง และหลังที่สอง ตอนนี้เป็นร้าน The Consul’s Garden (ซึ่งน้าอ้วนมีรีวิวร้านนี้ด้วยเช่นกัน) และหลังสุดท้ายจะอยู่ในสวนกว้าง ใกล้ ๆ ต้นจามจุรีขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี ด้วยความที่เจ้าของคนใหม่เป็นคนที่ชอบกินอาหารฝรั่งเศส แต่ ณ ตอนนั้นเชียงใหม่ยังไม่มีร้านอาหารประเภทนี้ ก็เลยก่อตั้งภัตตาคารอาหารฝรั่งเศส Le Coq d’Or ขึ้นมาเสียเองเลย โดยแปลว่า ไก่ตัวผู้สีทอง

เมื่อเราเดินเข้ามาถึงหน้าประตู ก็จะมีพนักงานเปิดประตูคอยต้อนรับ และส่งต่อให้พนักงานด้านในร้านเชิญเราไปที่โต๊ะ สำหรับใครที่ต้องการความพิเศษ ที่นี่บอกเลยว่าบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ทุกอย่างเป๊ะ เริ่มตั้งแต่บรรยากาศ ช้อน จาน ชาม แก้ว พนักงานทุกคนถูกฝึกมาอย่างดี อาหารที่นี่ก็จะมีให้เลือกหลากหลาย สำหรับใครที่อยากจะมากินเป็นเซ็ทเมนู ก็มีให้เลือกอยู่หลายคอร์สด้วยกัน แต่ถ้าอยากสั่งเป็น a la carte ก็สามารถสั่งได้เช่นกัน

สำหรับน้าอ้วนเองเลือกสั่งเป็นแบบ a la carte ซึ่งหลากหลายเมนูโดยจะไล่ลำดับตามหลักสากล อย่างจานแรก Caesar Salad with Prawn (350 บาท) จุดเด่นคือพนักงานจะมาสาธิตการทำสลัดที่โต๊ะของลูกค้าเลย โดยจะทำการตีน้ำสลัดกันแบบสด ๆ เอาผักไปคลุกเคล้าแล้วเสิร์ฟให้กันถึงโต๊ะ

Prawn Cocktail (450 บาท) เมนูกินเล่นเรียกน้ำย่อย สำหรับใครที่ชอบกุ้งแบบสดกรอบ เคล็ดลับที่ทางร้านบอกมาก็คือ เมื่อเอากุ้งไปลวกในน้ำร้อนจนสุกได้ที่แล้ว ก็จะรีบเอาไปน็อคน้ำเย็นทันที เพื่อให้เนื้อกุ้งมีความสดและกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับซอส Thousand Island รสชาติเข้มข้น สูตรเด็ดของทางร้าน

ในส่วนของซุปนั้นก็จะมีค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นซุปที่เป็นลักษณะข้น ได้แก่ Asparagus Cream Soup served with Scallop (350 บาท) หน่อไม้ฝรั่งที่เอาไปต้มและเคี่ยวจนสุก เอามาปั่นให้ละเอียดจนเนื้อเนียนและเข้มข้น กรองเอาแต่น้ำเสิร์ฟพร้อมกับหอยเชลล์ U.S.

Pumpkin Cream Soup (350 บาท) ฟักทองจากโครงการหลวงที่เอามาอบจนสุก หลังจากนั้นปั่นกับน้ำสต๊อกไก่ให้ละเอียด ปรุงรสให้กลมกล่อม

Chicken Consomme (250 บาท) ไก่ที่เอาไปเคี่ยวประมาณ 5-6 ชั่วโมง จนได้ซุปที่มีรสชาติเข้มข้น หลังจากนั้นมากรองเพื่อให้ได้ซุปที่มีความใส พร้อมเสิร์ฟ

มาถึงอาหารจากหลัก หรือ Main Course กันบ้าง วันนี้น้าอ้วนเอาใจทุกคน สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเนื้อ น้าอ้วนก็มีเป็ดมาแนะนำ หรือใครอยากกินอะไรเบา ๆ ปลาก็ถือเป็นหนึ่งเมนูที่เรียกว่าย่อยง่ายและดีต่อสุขภาพ

Australian Ribeye Steak serve with Gravy Sauce (1,200 บาท) เนื้อริบอายจากออสเตรเลีย คือหนึ่งสุดยอดของเนื้อระดับโลก ชิ้นเนื้อที่คัดสรรมาอย่างดี หมักกับเครื่องปรุงสุดพิเศษของทางร้าน เอาไปย่างบนกระทะจนสุกตามระดับความต้องการของลูกค้า เสิร์ฟพร้อมกับน้ำเกรวี่ และผักต้มสไตล์ฝรั่งเศสคลาสสิค

Pan Fried Snow Fish serve with Spinach and Red Wine Brown Sauce (950 บาท) ปลาหิมะชิ้นโตที่หมักกับเครื่องปรุงและไวน์ขาวจนเข้าเนื้อ เสิร์ฟพร้อมกับผักโขมที่เอา Sauté และซอสไวน์แดง ที่ช่วยเพิ่มรสชาติของเนื้อปลาให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

Pan Fried Breast of Duck (750 บาท) เนื้ออกเป็ดที่เอาไปอบเพื่อให้เนื้อนุ่ม และเอาไปทอดเพื่อให้หนังมีความกรอบและสีที่สวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับซอสส้มที่ทำมาจากน้ำส้มสดที่เอามาเคี่ยวกับน้ำตาลและเนยเพื่อให้ได้ความหอม

ปิดท้ายความอร่อยด้วยของหวานสุดว้าว ซึ่งเชฟจะมาทำให้ดูถึงโต๊ะ งานนี้บอกเลยว่ากรุณาอยู่ห่าง ๆ เชฟกันนิดหนึ่ง เพราะเขาจะมีโชว์ไฟลุกกันด้วย กับเมนู Crêpes Suzette (350 บาท) เมนูนี้ถ้าโต๊ะไหนสั่ง โต๊ะอื่น ๆ ก็จะอดใจไม่ไหวที่จะต้องสั่งตาม เพราะกลิ่นหอมของน้ำส้มที่ถูกเคี่ยวกับน้ำตาล น้ำมะนาว และเหล้ากลิ่นส้ม จะหอมฟุ้งไปทั่วร้าน เครปนุ่ม ๆ ผสานกับน้ำซอสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน บอกเลยว่าเป็นของหวานปิดท้ายมื้อได้อย่างเพอร์เฟ็ค

หนึ่งมื้อพิเศษ กับบริการสุดพิเศษ เพื่อให้ค่ำคืนที่สุดแสนพิเศษเพอร์เฟ็คที่สุด ใครที่อยากสัมผัสความหรูหรา ความอร่อยในแบบของฝรั่งเศสแท้ ๆ บอกเลยว่าที่นี่แหละคือเจ้าแรกและเจ้าดังในเชียงใหม่ที่สามารถนำเสนอความพร้อมสรรพได้ในทุกด้าน หรือสำหรับใครที่อยากจะพาแขกผู้ใหญ่มารับรอง รับประกันว่ากลับไปแล้วต้องได้รับความประทับใจกลับไปด้วยเช่นกัน

ชื่อร้าน : Le Coq d’Or Restaurant
ที่อยู่ : 11 ซอย 2 ถนนเกาะกลาง ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.760620, 99.003139
ติดต่อ : 053-141555 , http://www.lecoqdorrestaurant.com
เวลาเปิด-ปิด : วันจันทร์ – วันอาทิตย์: 11.00 น. – 14.00 น. และ เวลา 18.00 น. – 22.00 น.
Wongnai Review : https://www.wongnai.com/restaurants/7041dk-le-coq-d-or-restaurant

RELATED POSTS

COMMENT

0 Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save